ระบบส่งกำลัง หรือที่เรียกว่า Drivetrain (ไดรฟ์เทรน) ถือเป็นหนึ่งในประเด็นยอดฮิต ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อถกเถียงในวงสนทนาของผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ เรียกได้ว่า เมื่อคนบ้ารถมาเจอกัน ก็ต้องมีการพูดถึงข้อดีของรถขับหน้า จุดเด่นของรถขับหลัง รวมไปถึงข้อได้เปรียบของรถขับสี่
เพราะฉะนั้น ผมก็เลยถือโอกาสเรียบเรียงบทความนี้ เพื่อสรุปจุดเด่นแบบคร่าวๆ ชองการส่งกำลังแต่ละชนิด รวมไปถึงเทคนิคการเข้ารถแต่ละประเภท ซึ่งถือเป็นอะไรที่น่าสนใจเลยทีเดียว
สำหรับเนื้อหาส่วนใหญ่ของบทความนี้ ผมได้เรียบเรียงมาจากวิดีโอ FWD vs RWD vs AWD: Know How to Handle Your Junk!ดำเนินรายการโดยนักแข่งสุดเก๋า Randy Pobst และดำเนินการผลิตโดยนิตยสารรถยนต์ชื่อดัง Motor Trend(ผมได้แปะลิงค์ไว้ที่ด้านท้ายของบทความ เผื่อว่าท่านผู้อ่านอยากจะชมวิดีโอแบบออริจินอล)
รถขับหลัง (Rear-wheel drive = RWD)
รถยนต์ที่ลุง Randy นำมาสาธิตในวันนี้ก็คือรถสปอร์ตขนาดกลาง-ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่ขับสนุกมากที่สุดคันหนึ่ง นั่นก็คือ Mazda MX-5 นั่นเองครับ สำหรับจุดเด่นของรถประเภทนี้อยู่ตรงที่ การถ่ายน้ำหนัก (Weight Transfer) โดยปกติแล้ว ในขณะเร่งออกตัวหรือว่าเร่งออกจากโค้ง น้ำหนักส่วนใหญ่ของตัวรถจะถูกถ่ายเทไปที่ด้านหลัง ส่งผลให้ล้อหลัง (ซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อน) มีแรงยึดเกาะที่เพิ่มขึ้น และด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของการถ่ายน้ำหนักนี้เอง ที่ทำให้รถขับหลังสามารถเร่งออกจากโค้งได้อย่างสมดุลและเป็นธรรมชาติ
สำหรับเทคนิคของการเข้าโค้งสำหรับรถขับหลัง มีขั้นตอนดังนี้ ให้เริ่มเบรกตั้งแต่ทางตรง จากนั้นค่อยๆ ปล่อยเบรกและเลี้ยวไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่งถึงกึ่งกลางของโค้ง หลังจากนั้นให้เติมคันเร่งและคืนพวงมาลัยอย่างช้าๆ พยายามบังคับให้ตัวรถบานออกจากโค้งให้น้อยที่สุด (หรือที่เรียกว่า การออกโค้งแบบ Late Apex)
เรซซิ่ง-ไลน์ของรถขับเคลื่อนล้อหลัง
รถขับหน้า (Front-wheel drive = FWD)
Ford Focus สีเหลืองสดคันนี้ มาในบอดี้แบบแฮทช์แบค 5-ประตู พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของขนาดที่กะทัดรัด และน้ำหนักที่เบาหวิว ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า กลายมาเป็นระบบขับเคลื่อนที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก นอกจากนั้นแล้ว ระบบขับเคลื่อนล้อหน้ายังมีจุดเด่นในแง่ของ ประสิทธิภาพการส่งกำลัง เนื่องจากว่าเป็นระบบกำลังที่มีชิ้นส่วนน้อยชิ้น ทำให้ระบบการขับเคลื่อนล้อหน้ามีประสิทธิภาพสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับระบบขับหลังและขับสี่
สำหรับเทคนิคของการเข้าโค้งสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้านั้น มีขั้นตอนดังนี้ เบรกให้หนักและหักพวงมาลัยเพื่อเก็บเอเป็กซ์ (ในจังหวะนี้ น้ำหนักจะถูกถ่ายเทมาด้านหน้า ส่งผลให้แรงยึดเกาะที่ล้อหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รถขับหน้าจึงสามารถมุดเข้าโค้งได้ง่ายกว่ารถขับหลัง) เมื่อรถเข้าสู่กึ่งกลางของโค้งแล้ว ให้เหยียบคันเร่งเพื่อเร่งออกจากโค้ง โดยวิถีที่ออกจากโค้งนั้นควรรักษาให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด (ออกโค้งให้ Late Apex 'มากกว่า'รถขับหลัง)
เรซซิ่ง-ไลน์ของรถขับเคลื่อนล้อหน้า
รถขับเคลื่อนสี่ล้อ (4-wheel drive = 4WD)
Subaru WRX รถซีดานสายพันธุ์แรลลี่คันนี้ ขับเคลื่อนสี่ล้อแบบฟูล-ไทม์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ แรงยึดเกาะ อันมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เร่งออกตัว ระบบส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อจะสามารถถ่ายทอดแรงม้าทุกตัวลงไปที่ล้อทั้งสี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น จุดเด่นของรถประเภทนี้ก็คือ อัตราเร่งระดับพระเจ้า นั่นเองครับ
เนื่องจาก ข้อได้เปรียบของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อก็คืออัตราเร่งที่เร็วจนน่าขนลุก เพราะฉะนั้น เทคนิคการเข้าโค้งของรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ การหาไลน์ที่เป็นเส้นตรงที่สุด เพื่อให้รถสามารถพุ่งออกจากโค้งให้ได้เร็วที่สุด
เทคนิคของการเข้าโค้งสำหรับรถขับเคลื่อนสี่ล้อ มีขั้นตอนดังนี้ เบรกให้หนักและอย่าเพิ่งหักพวงมาลัยจนกว่าความเร็วจะลดลงจนถึงความเร็วที่ต้องการ จากนั้นให้หักพวงมาลัยแบบสุดชีวิตเพื่อพลิกให้หน้ารถกลับมุ่งไปทางออกของโค้ง หลังจากนั้นให้กดคันเร่งแบบจมดิน ล้อทั้งสี่จะช่วยกันตะกุยทำให้รถสามารถเร่งออกจากโค้งได้แบบเร็วสุดๆ เลยล่ะครับ
เรซซิ่ง-ไลน์ของรถขับเคลื่อนสี่ล้อ
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับเทคนิคการเข้าโค้ง รวมไปถึง เรซซิ่ง-ไลน์ (Racing line) ของรถแต่ละแบบ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย ก่อนจะจบบทความนี้ ก็อยากจะฝากไว้สักนิดนะครับว่า เทคนิคที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคที่ใช้ในการขับรถในสนามแข่งเท่านั้นนะครับ อย่าได้ไปเข้าโค้งแบบเรซซิ่งไลน์บนสาธารณะเชียวล่ะ...
ขับรถปลอดภัยครับผม :)
วิดีโอ FWD vs RWD vs AWD: Know How to Handle Your Junk!
ท่านผู้อ่านสามารถติดตาม ข่าวสารยานยนต์หรือ บทความอื่นๆ ได้ที่ แฟนเพจ ของเราเลยครับผม