เรียบเรียงโดย Joh Burut

ถ้าผมถามท่านผู้อ่านว่า...รถยนต์คันหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมา...เพื่ออะไร

แน่นอนว่าคำตอบของคำถามนี้ ก็จะมีตั้งแต่... เพื่อทำให้เราไปไหนต่อไหนได้สะดวกขึ้น, เพื่อให้เรามีอิสระในการเดินทาง ,เพื่อให้เราขนสัมภาระขนาดใหญ่ได้ หรือไม่ก็...เพื่อให้เราเป็นหนี้ (ล้อเล่นนะครับ)

แต่เชื่อหรือไม่ว่า...ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฟังดูแล้วค่อนข้าง บ้า นิดๆ นั่นก็คือว่า...

รถยนต์บางคัน...ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะรถยนต์อีกคัน

 

 

ในบทความนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับคู่รัก-คู่แค้นแห่งวงการยานยนต์ ซึ่งบางคู่นั้น ถูกสร้างขึ้นมาโดยตั้งใจเพื่อให้เป็นศัตรูกันตั้งแต่แรก แต่ก็มีบางคู่ที่โดน มัดมือชก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปรียบมวยเลยด้วยซ้ำ... โดยสงครามระหว่างรถยนต์ที่ผมจะพูดถึงนั้น มีตั้งแต่ศึกสายเลือดเดียวกันอย่างอเมริกัน-อเมริกัน ที่ซัดกันโหดเอาเรื่อง รวมไปถึงศึกข้ามทวีปอย่างญี่ปุ่น-เยอรมัน ก็หวดกันแบบไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว

เอาล่ะ...จะชักช้าอยู่ใย! ...ระฆังยกที่ 1 ดังแล้ว! ไปชมกันเลยครับ...กับมวยคู่แรก

 

คู่ที่ 1;

Chevrolet Camaro (VS) Ford Mustang : ศึกแห่งสายเลือดอเมริกันมัซเซิล

และนี่ก็คือคู่ปรับตลอดกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการยานยนต์ก็ว่าได้ นั่นก็เพราะว่า Mustang และ Camaro ได้ต่อสู้อย่างไม่มีใครยอมใครบนผืนดินของประเทศอเมริกามานานกว่า 50 ปีแล้ว!!

การต่อสู้ครึ่งค่อนทศวรรษระหว่างอเมริกันมัซเซิลคู่นี้ เริ่มต้นขึ้นในปี 1964 ซึ่งเป็นปีที่ Ford ได้เปิดตัว Mustang รุ่นแรก และหลังจากนั้นให้หลังเพียง 3 ปี Chevrolet ก็ได้เปิดตัว Camaro รุ่นแรก พร้อมกับการประกาศสงครามกับ Mustang อย่างเต็มรูปแบบ

หลังจากนั้น รถสัญชาติอเมริกันทั้งสองคันนี้ก็ได้ใช้สมรภูมิทางตรงเป็นสังเวียนในการประลองความเร็วอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะซิ่งในสนามแดร็กแบบถูกกฎหมาย หรือจะซิ่งในถนนหลวงแบบผิดกฎหมาย ก็ไม่ใช่ปัญหาของคู่หูแบดบอยแห่งอเมริกาแต่อย่างใด เอาเป็นว่า...ถ้าเห็น Mustang ที่ไหน ก็เห็น Camaro ที่นั่น

และช่วงปลายปี 70 Ford ได้เปิดตัว 1979 Mustang รุ่นใหม่ล่าสุด และหลังจากนั้นเพียงไม่นาน Chevy ก็เปิดตัว 1982 Camaro แบบตามมาติดๆ กัน เรียกได้ว่า Ford ปล่อยรถรุ่นใหม่เมื่อไหร่ Chevy ก็เปิดตัวรถใหม่ตามหลังกันแบบควันไม่ทันจาง

2015 Ford Mustang

 

2016 Camaro

และแล้วก็มาถึงรถรุ่นล่าสุดอย่าง 2015 Ford Mustang ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 6 ของรถตระกูลม้าป่า โดยเกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์เดียวก็คือเอาชนะ Chevrolet Camaro และคู่รักคู่แค้นอย่าง Mustang และ Camaro ก็กลายเป็นคู่ปรับตลอดกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการยานยนต์มาจนถึงทุกวันนี้

 

คู่ที่ 2;

Nissan GTR (VS) Porsche 911 Turbo : ศึกชิงป้อมปราการสีเขียว นูวเบิร์กริง

ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายคนคงไม่คุ้นกับมวยคู่นี้สักเท่าไหร่ แต่จะบอกให้ว่า...นี่คือหนึ่งในสังเวียนรถสมรรถนะสูงที่ดุเดือดที่สุดอีกคู่หนึ่ง ซึ่งต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร บนสนามแข่งรถสุดโหดอย่าง นูวเบิร์กริง (Nurburgring)

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการเปิดตัว ก็อตซิลล่าจากเกาะญี่ปุ่นอย่าง Nissan GTR ก็เริ่มออกอาละวาดไปทั่วทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป และหนึ่งในเป้าหมายของอสุรกายขับสี่คันนี้ก็คือ สนามแข่งรถ นูวเบิร์กริง ในประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของรถสมรรถนะสูงอย่าง Porsche

บทความแนะนำ ความลับของก็อตซิลล่า : ความลับ 5 ประการของ Nissan GTR

Nissan GTR

ในปี 2008 และแล้วชนวนเหตุแห่งสงครามก็ได้ปะทุขึ้น เมื่อ Nissan GTR ได้ประกาศตนเองว่า มันเป็นรถโปรดัคส์ชั่นคาร์ที่เร็วที่สุดในสนามนูวเบิร์กริง โดยสามารถทำเวลาได้ 7:29 นาที ซึ่งแน่นอนว่าทางเจ้าบ้านอย่าง Porsche ก็ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ต่อไป เนื่องจากเวลาที่ GTR ทำได้นั้น เร็วกว่า 911 Turbo เรือชูธงรุ่นล่าสุดของ Porsche ซึ่งทำเวลาได้ 7:38

Porsche 911 Turbo

Porsche ไม่เชื่ออย่างแรงว่า GTR ที่มีแรงม้าน้อยกว่า และมีน้ำหนักมากกว่า จะทำเวลาได้ดีถึงขนาดนั้น พวกเขาจึงนำเอา GTR มาขับทดสอบเองเสียเลย ผลปรากฏว่าทำเวลาได้ 7:54 ซึ่งช้ากว่าที่ Nissan ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า ดังนั้น Porsche จึงปฏิเสธสถิติของ Nissan GTR และกล่าวหาว่า Nissan นั้น โกงเวลา โดยใช้ยางรถแข่ง แทนที่จะเป็นยางเดิมติดรถมา

แต่ทว่าทาง Nissan ก็เพิกเฉยต่อคำกล่าวหาของ Porsche แถมยังกลับมาอาละวาดอีกครั้งในปี 2012 โดย Nissan GTR รุ่นไมเนอร์เชนจ์สามารถทำเวลาได้ 7:18 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมากๆ แต่...ในครั้งนี้ Porsche ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ คงจะเอือมล่ะมั้ง ผมว่านะ และมาจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ทราบว่าระหว่าง 911 Turbo และ GTR คันไหนจะเร็วกว่าใน สนามนูวเบิร์กริง แห่งนี้... แต่สิ่งที่เราทราบอย่างแน่นอนก็คือว่า การแข่งกันทำลายสถิติในครั้งนั้น ได้ทำให้ GTR กลายมาเป็นศัตรูกับ 911 Turbo นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

คู่ที่ 3;

Mitsubishi Lancer Evolution (VS)Subaru Impreza : ศึกชิงมงกุฎ WRC

ศึกแห่งซีดานสายเลือดซามูไรในครั้งนี้ เริ่มต้นปะทุขึ้นอย่างจริงจังเมื่อต้นปี 90 ในสังเวียนทางฝุ่นสุดโหดอย่าง World Rally Championship หรือเรียกย่อๆ ว่า WRC ทั้ง Subaru และ Mitsubishi ต่างก็ตัดสินใจส่งรถยนต์ซีดานเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน โดยมีวัตถุประสงค์เพียงประการเดียว นั่นก็คือ...การเป็นแชมป์ WRC

เนื่องจากถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของรถแข่งแรลลี่ ทั้ง Evo และ Impreza จึงมีสเปคที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ รถซีดานสองคันนี้ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0-ลิตร พ่วงด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ และขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ฟูล-ไทม์

EVO6 (Tommi Makinen Version)

จุดที่แตกต่างกันที่สุดก็เห็นจะเป็นเลย์เอาท์ของเครื่องยนต์ โดย Evo นั้นใช้เครื่องยนต์ 4-สูบ แถวเรียงตามปกติ ส่วน Impreza มาพร้อมกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์สูบนอน ซึ่งได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของ Subaru มาจนถึงปัจจุบันนี้ และไม่น่าเชื่อว่า ความไม่เหมือนกัน เพียงอย่างเดียวนี้ จะทำให้เกิดเป็นสงครามที่ต่อเนื่องยาวนานมากว่า 10 ปี

บทความแนะนำ รู้เฟื่องเครื่องสูบนอน : ข้อได้เปรียบ 7 ประการของเครื่องยนต์บ็อกเซอร์

SUBARU WRX STI ปี 1998 (ขับโดย Colin Mcrae)

ไม่ใช่แค่สังเวียน WRC เท่านั้น ที่ทำให้ EVO และ Impreza กลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบหรือทางฝุ่น ทางตรงหรือทางโค้ง รถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ ก็จ้องจะหาเรื่องประลองความเร็วอยู่ตลอดเวลา

เมื่อปีที่แล้ว ในที่สุดการต่อสู้อันยาวนานของซีดานคู่นี้ก็ถึงคราวสิ้นสุด เมื่อ Mitsubishi ประกาศยกเลิกการพัฒนา Lancer Evolution และจะปิดไลน์การผลิตตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป การออกมาประกาศอย่างเป็นทางการนี้ ทำเอาสาวก Evo ปาดน้ำตากันแทบไม่ทัน และของขวัญชิ้นสุดท้ายจากใจของ Mitsubishi ก็คือ EVO X Final Edition ซึ่งขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น นับตั้งแต่นั้นมา ศึกชิงเจ้าทางฝุ่นระหว่าง Evo และ Impreza ก็กลายเป็นเพียงตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งวงการแรลลี่

 

คู่ที่ 4;

Ford Focus RS (VS) Honda Civic Type R : ศึกชิงบัลลังก์แฮทช์แบคสมรรถนะสูง

และนี่ก็คือคู่ชกล่าสุดแห่งสังเวียนแฮทช์แบคเทอร์โบ ถึงแม้ว่ารถแฮทช์แบคสมรรถนะสูงทั้งสองคันนี้จะไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกันแต่อย่างใด แต่ทว่า...มันก็ถูกคนทั้งโลกก็จับคู่เปรียบมวยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

2016 Honda Civic Type R

ฝ่ายแดงคือบริษัทรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่น Honda ซึ่งได้ส่ง Civic Type R ลำใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ VTEC-Turbo 2.0-ลิตร สร้างแรงม้าได้ 306-ตัว ประกบกับเกียร์แมนนวล 6-สปีด ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหน้าตามแบบฉบับของ Type R พร้อมกับช่วงล่างที่เซทอัพไปในแนวเรซซิ่ง-เซอร์กิต

2016 Ford Focus RS

ฝ่ายน้ำเงินคือบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกา Ford ได้ส่ง Focus RS ที่ใช้เครื่องยนต์ EcoBoost 2.3-ลิตร สร้างแรงมาได้สูงถึง 345 แรงม้า แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะที่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างอิสระทั้งสี่ล้อ

ถึงแม้ว่า Civic Type R จะแรงม้าจะน้อยกว่าถึง 40 ตัว รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนสองล้อหน้าที่เสียเปรียบอย่างชัดเจน ...แต่ทว่าโลโก้ Type R มันก็ ค้ำคออยู่ นั่นทำให้ Civic ต้องจำใจเข้าสู่สังเวียนที่มี โอกาสแพ้ มากกว่าชนะ แต่ถึงกระนั้นแล้ว จวบจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงได้รถคันไหนจะกำชัยในศึกชิงบัลลังก์แฮทช์แบคเทอร์โบอันยิ่งใหญ่นี้

2009 Honda Civic Type R

นอกจากโมเดลล่าสุดของ Focus RS และ Civic Type R แล้ว ถ้าหากเราย้อนกลับไปเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ก็จะพบเบาะแสบางอย่างที่อาจจะเป็นต้นตอของศึกในครั้งนี้ นั่นก็คือว่า Civic Type R และ Ford Focus RS นั้น เคยเป็นคู่อริกันมาก่อนในสมรภูมิแฮทช์แบค 3 ประตู

2009 Ford Focus RS

2009 Civic Type R (เวอร์ชั่นยุโรป) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.0-ลิตร 198 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วน 2009 Ford Focus RS นั้น ใช้เครื่องเทอร์โบ 2.5-ลิตร ผลิตกำลังได้มากถึง 300 แรงม้าและขับเคลื่อนล้อหน้า และศึกระหว่างแฮทช์แบคสัญชาติอเมริกันและแฮทช์แบคสายเลือดซามูไรก็เริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

คู่ที่ 5;

Chevrolet Corvette (VS) the Dodge Viper : ศึกชิงบัลลังก์รถสปอร์ตอเมริกัน

Corvette และ Viper คือมวยคู่เอกแห่งทศวรรษที่ 21 ที่ลงชกในสังเวียนรถสปอร์ตสัญชาติอเมริกัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสงครามที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้สมรภูมิของอเมริกันมัซเซิลอย่าง Camaro ปะทะกับ Mustang ...ถ้าหากว่า Corvette คือลูกชายของ Camaro เพราะฉะนั้น Viper ก็คือลูกชายของ Mustang

เริ่มต้นในปี 2008 โดย Dodge ได้ปล่อยหมัดตรงเข้าใส่ Chevrolet แบบเต็มๆ ด้วย Dodge Viper ACR สุดยอดรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่เน้นหนักไปทางการขับซิ่งในเซอร์กิต มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V10 600-แรงม้า แต่หลังจากนั้นได้ไม่นาน ก็ถึงคราวของ Chevrolet บ้าง โดยการปล่อยหมัดเด็ด 638-แรงม้า Corvette ZR1 ที่เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียง 3.3 วินาที ...ทำเอา Dodge จุกไปพักหนึ่งเหมือนกัน

2008 Viper ACR

 

2008 Corvette ZR1

และในปี 2015 ที่ผ่านมา Chevy ได้ให้กำเนิด Corvette C7 Z06 ที่มีแรงม้ามากถึง 650 แรงม้า และที่น่าเหลือเชื่อก็คือมันสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยใช้เวลาน้อยกว่า 3 วินาที ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ เร็วโคตรๆ สำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลัง

2015 Corvette Z06 และ 2016 Viper ACR

หลังจากที่ปล่อยให้ Z06 ได้ใจเพียงไม่นาน Dodge ก็ปล่อยอสรพิษตัวใหม่ที่โหดและดิบกว่าเดิม นั่นก็คือ 2016 Viper ACR ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ V10 8.4-ลิตร สร้างกำลังได้ 645-แรงม้า

และนี่ก็คือเรื่องราวของสงครามแห่งรถสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่แห่งประเทศอเมริกา ที่นับวันจะเข้มข้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีสปอร์ตขับหลังสัญชาติเยอรมันอย่าง Porsche GT3 มาร่วมแจมด้วยก็เป็นได้...

ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

เอ้ยยย!! ผิดๆๆๆๆๆๆ

ที่ใดไม่มีการแข่งขัน...ที่นั่นไม่มีความก้าวหน้า

แค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ก็สามารถตอบคำถามได้แล้วว่า ทำไมรถยนต์เหล่านี้ถึงต้องชิงดีชิงเด่นแบบไม่มีใครยอมใคร ทำไมรถยนต์พวกนี้ถึงต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าทุกการแข่งขันย่อมมีผลแพ้-ชนะ แต่ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลการตัดสินแต่อย่างใด หากแต่มันคือ ความก้าวหน้า ที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันนั่นเอง ที่ผลักดันให้เหล่าผู้พัฒนารถยนต์สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเดิม เหนือกว่าเดิม และที่สำคัญ แรงกว่าเดิม...

ท่านผู้อ่านสามารถติดตาม ข่าวสารยานยนต์หรือ บทความอื่นๆได้ที่ แฟนเพจของเราเลยครับผม

ขอบคุณค้าบบบ :)

เรียบเรียงโดยJoh Burut

 

 

Get Connected | ติดต่อกับพวกเราได้ที่...