เรียบเรียงโดยJoh Burut

5 Gods of Wind

5 อันดับของสุดยอดรถที่มี แอโร ที่ดีที่สุดในทศวรรษ

 

มันไม่ใช่เรื่อง ยาก เลย...ที่เราจะสร้าง ผลิตภัณฑ์ ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง...

แต่มันไม่ใช่เรื่อง ง่าย เลย...ที่เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรา จนกระทั่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก...

 

www.dimitri.co.uk

 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการจะผลิต ไอศกรีม สักยี่ห้อหนึ่ง

องค์ประกอบที่จะทำให้ไอศกรีมของเรา ติดตลาด นั้น...ประกอบไปด้วย แบรนด์, แพ็คเกจจิง, ราคาขาย และที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้น รสชาติ นอกจากนั้นยังมีอีกองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งสำคัญไม่แพ้องค์ประกอบที่ผ่านมาเลย นั่นก็คือ ความสามารถในการรักษาความเย็น ซึ่งจะช่วยให้ไอศกรีมของเรา ไม่ ละลาย เร็วจนเกินไปนั่นเอง

ถ้ามองในแง่ของผู้ผลิตแล้ว องค์ประกอบข้อสุดท้ายนี้ ถือเป็นอะไรที่สำคัญมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อเหลือเกินว่า ร้อยทั้งร้อยของคนซื้อไอศกรีม...ไม่มีใครสนใจ ความสามารถในการรักษาความเย็น แม้แต่คนเดียว...

 

รถยนต์ก็เช่นเดียวกัน...

องค์ประกอบที่จะทำให้มัน ขายได้ นั้น คงหนีไม่พ้น รูปร่างหน้าตา, สมรรถนะของช่วงล่าง และประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ องค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่ผู้ซื้อสามารถ สัมผัสได้โดยตรง ว่าแต่ว่า...จะมีลูกค้าสักกี่คนที่รู้จักกับ ประสิทธิภาพเชิงแอโรไดนามิคส์

ถ้าเปรียบเทียบกับไอศกรีมแล้ว ประสิทธิภาพเชิงแอโร ก็เหมือนกับ ความสามารถในการรักษาความเย็น เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ลูกค้า ไม่ให้ความใส่ใจ มากเท่าที่ควร...ทั้งๆที่ประโยชน์ของมันก็มีอยู่ไม่น้อยเลย สุดท้ายแล้ว ประสิทธิภาพเชิงแอโร ก็กลายเป็นแค่ คนดีที่ไม่มีตัวตน... ได้แต่ นั่งเงียบ อยู่ในมุมมืดของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเหงาๆ ต่อไป...

 

อากาศพลศาสตร์ของรถยนต์ ได้พัฒนาไปอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ประกอบกับเทคโนโลยีในเรื่องของวัสดุศาสตร์และกรรมวิธีการผลิต ได้เข้ามาช่วยลดข้อจำกัดในการขึ้นรูปตัวถัง จากรถที่เคยเป็นกล่องสี่เหลี่ยม กลายมาเป็น งานศิลปะ ที่มีความโค้งมน รูปทรงน่าหลงใหล แต่ที่น่าสนใจก็คือว่า... รูปทรงที่โค้งมนเหล่านี้ ใช่เพียงเพื่อ ความสวยงาม แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มันคือสุดยอดผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยศาสตร์แห่ง แอโรไดนามิคส์

ในบทความนี้ผมได้จัดอันดับรถยนต์ที่มีแอโรไดนามิคส์ที่ดีที่สุด 5 อันดับ รถทั้ง 5 คันนี้ จัดได้ว่าเป็นรถที่มี ประสิทธิภาพเชิงแอโร ที่สูงมากๆเป็นอันดับต้นๆของโลก หลายพันชั่วโมงของการทดสอบในอุโมงค์ลม ก่อเกิดเป็นรถที่มีรูปทรงที่ เป็นมิตรกับกระแสลม ทุกส่วนของบอดี้นั้น ถูกขัด ถูกเกลา จนสามารถ เล่นกับลม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงแม้ผู้พัฒนารถยนต์เหล่านี้จะทราบดีว่า แอโร เป็นอะไรที่ลูกค้า สัมผัสได้ยากมาก แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นว่า แอโร ที่เพิ่มขึ้นมานี้ จะสามารถเพิ่ม สมรรถนะ ให้กับรถได้อย่าง ไม่เสียแรงเปล่า และผมเชื่อเหลือเกินว่า...รถทั้ง 5 คันที่ผมจะกล่าวถึงนี้ จะต้องถูกจารึกไว้ประวัติศาสตร์ของรถยนต์จนกลายเป็น ตำนาน อย่างแน่นอน

หลักเกณฑ์ที่ผมใช้ในการคัดเลือกรถทั้ง 5 คัน ไม่ใช่เพียงแค่พิจารณาค่า สัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ หรือที่เรียกกันว่า Cd แต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังต้องพิจารณาในแง่ของ การสร้างแรงกด การนำอากาศเข้าเครื่องยนต์ รวมไปถึงการระบายความร้อน อีกด้วย

การสร้างแรงกด ในที่นี้ หมายถึง ความสามารถในการบังคับอากาศเพื่อสร้างแรงกด หรือที่เรียกว่า ดาวน์ฟอร์ซ (Downforce)

การนำอากาศเข้าเครื่องยนต์ หมายถึง ความสามารถในการนำ ปริมาณ ของอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้อย่างเพียงพอ

การระบายความร้อน หมายถึงความสามารถในการลำเลียงอากาศเข้าไประบายความร้อนของเครื่องยนต์ ชุดเกียร์ รวมไปถึงระบบเบรกอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า การที่จะตัดสินว่ารถคันนี้มีแอโรดีหรือไม่นั้น เราจะต้องพิจารณาให้ครบทุกมิติ

เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้ว...

 

รถที่มีค่า Cd น้อย...จึงไม่ได้หมายถึงรถที่มี แอโร่ที่ดี เสมอไป

 

เอาล่ะ...ผมว่าผมโม้มาเยอะละ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า กับอันดับที่ 5!

 

อันดับ 5 | NISSAN GT-R (R35)

God of Wind อันดับที่ 5 ตกเป็นของ NISSAN GT-R (R35) รถสปอร์ตระดับตำนานจากค่าย NISSAN

เจ้าก็อตซิลล่าจากเกาะญี่ปุ่นคันนี้ สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากรุ่นพี่ที่ไม่มีวันตายอย่าง SKYLINE GT-R R34

หลังจากที่ R34 ถูกปิดไลน์การผลิตไป...แน่นอนว่า เจ้าทายาทรุ่นใหม่อย่าง R35 จึงถูกตั้งความหวังไว้สูงมากๆ

และทันทีที่ R35 เปิดตัว...เจ้าก็อตซิลล่าตัวนี้ก็ ไล่เก็บ ซูปเปอร์คาร์จากค่ายอื่นแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลยทีเดียว

ทันใดนั้นเราก็ทราบทันทีว่า...เจ้า R35 มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสืบทอดตระกูล GT-R

นอกจากขึ้นชื่อในเรื่องของเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและระบบขับเคลื่อนที่ชาญฉลาดแล้ว R35 คันนี้ยัง มีดี ในเรื่องของแอโรไดนามิคส์อีกด้วย ใครจะเชื่อว่าเจ้าปีศาจตัวยักษ์นี้ จะมีค่า Cd เพียงแค่ 0.26 ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ

ด้วยแอโรพาร์ทประสิทธิภาพสูงที่ถูกติดตั้งไว้รอบคัน ทำให้ GT-R คันนี้มีแรงต้านอากาศที่ต่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้าง ดาวน์ฟอร์ซ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แอโรพาร์ทที่ผมชอบที่สุดนั้น เห็นจะเป็น อันเดอร์-โคเวอร์(Under-cover) ที่ถูกติดตั้งไว้ใต้ท้องรถ ซึ่งถูกปิดไว้อย่าง ราบเรียบ ตั้งแต่หน้ารถไปจนถึงหลังรถ

นอกจากนั้นแล้ว...รูระบายอากาศแบบ นาค่า(NACA Duct) ที่ถูกติดตั้งบนฝากระโปรง ก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ซึ่งผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ เจ๋ง มาก

และด้วยองค์ประกอบทางแอโรทั้งหมดที่กล่าวมานี้...ทำให้เจ้าก็อตซิลล่าจากแดนซามูไรคว้าอันดับที่ 5 ไปครอง

{googleads center}

 

อันดับ 4 | TESLA Model S

อันดับที่ 4 ของ God of Wind กลายเป็นม้ามืดจากค่าย TESLA ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำจากประเทศอเมริกา

TESLA Model S เป็นรถไฟฟ้า 100% มันเป็นรถที่เปลี่ยนนิยามเดิมๆของ รถแบตเตอรี่ ไปอย่างสิ้นเชิง มันเป็นรถที่สวยและก็มีอัตราเร่งที่เร็วน่าเหลือเชื่อ และด้วยรูปทรงที่ ลื่นไหล ไปกับกระแสลม ทำให้ Model S มีค่า Cd เพียงแค่ 0.24 เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าเจ้าพ่อไฮบริดอย่าง TOYOTA PRIUS เสียอีก และข้อดีของการเป็นรถไฟฟ้า 100% นั่นก็คือว่า... Model S คันนี้ ไม่จำเป็นต้องนำอากาศไปหล่อเย็นให้กับหม้อน้ำ เพราะฉะนั้นที่กันชนหน้าของ Model S จึงมีเพียงช่องระบายอากาศขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลดีอย่างยิ่งกับเรื่องแอโรไดนามิคส์

ส่วนที่ผมชอบมากที่สุดของรถคันนี้ก็คือ ระบบ มือจับเปิดประตูแบบแอคทิฟ(Active Door Handles) ซึ่งเป็นระบบที่ มือจับเปิดประตู สามารถ ยืด-หด ได้อย่างอิสระ ประโยชน์ของมันอยู่ตรงที่ เมื่อรถมีการเคลื่อนที่เมื่อไหร่ มือจับจะหดเข้าไปในประตู ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้อากาศไหลผ่านด้านข้างของตัวรถได้อย่างราบเรียบมากขึ้น

 

อันดับ 3 | PORSCHE 911 TURBO S

มาแบบเหนือเมฆเลยทีเดียว สำหรับ PORSCHE 911 TURBO S ซึ่งคว้าอันดับ 3 ไปครองเป็นที่เรียบร้อย

911 TURBO S เป็นรถสปอร์ตที่ ฉลาด มากๆ สุดยอดเทคโนโลยีที่ PORSCHE สั่งสมมาอย่างยาวนาน ถูกใส่ลงไปใน TURBO S อย่างเต็มอัตราศึก แต่ที่ผมถูกใจเป็นพิเศษนั้นก็คือ ระบบจัดเรียงอากาศแบบแอคทิฟ ที่เรียกว่า PAA ซึ่งย่อมาจาก PORSCHE ACTIVE AERODYNAMICS ซึ่ง PAA เป็นระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่ม สมรรถนะของแอโร ในทุกช่วงความเร็วของการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถแบบปกติ หรือว่าจะเป็นการซิ่งในสนามแข่ง

หลักๆแล้วจะมีแอโรพาร์ทอยู่ 2 ชิ้นที่ถูกควบคุมด้วย PAA นั่นก็คือ สปอยเลอร์หลังแบบแอคทิฟและลิ้นหน้าแบบแอคทิฟ แอโรพาร์ทที่เป็นพระเอก ก็ต้องยกให้กับ ลิ้นหน้าแบบแอคทิฟ ซึ่งสามารถ ยืด-หด ได้อย่างอิสระ หลายคนมองว่ามันเป็นอะไรที่ดู กิ๊กก๊อก แต่ใครจะเชื่อว่ามันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเชิงแอโรได้อย่างมหาศาล และด้วยระบบ PAA อันชาญฉลาดนี่เอง...ที่ทำให้ 911 TURBO S คว้าอันดับ 3 ไปครอง...

 

อันดับ 2 | BMW i8

อันดับที่ 2 ตกเป็นของ BMW i8 รถไฮบริดสุดล้ำจากค่าใบพัดสีฟ้า ด้วยดีไซน์ที่ออกแนว อวกาศ นิดๆ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกว่ามัน มันเป็นรถที่หลุดออกมาจาก โลกอนาคต ยังไงยังงั้น

สปอร์ตไฮบริดตัวจี๊ดคันนี้ มีดีอยู่ที่ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีรูปทรงที่ค่อนข้างแปลกตา... รอบๆคันนั้น มีเหลี่ยมมีสัน โผล่ขึ้นมาราวกับว่าเป็น ชุดเกราะ ของอัศวิน ด้วยรูปทรงแบบลู่ลมที่เรียกว่า สตรีมไลน์ บอดี้ (STREMELINED BODY) BMW i8 คันนี้จึงไม่เปิดให้โอกาสให้ กระแสลม ได้สร้าง แรงต้านอากาศ เลยแม้แต่น้อย นอกจากบอดี้แบบลู่ลมแล้ว BMW i8 ยังมีแอโรพาร์ทสุดล้ำซึ่งถูกติดตั้งไว้อย่าง ครบครัน เสมือนว่าเป็น อาวุธของนักรบ

แอร์ เคอร์เทน (Air Curtain) ถูกติดตั้งไว้บริเวณกันชนหน้า ช่วยลดการปะทะของอากาศกับกันชน ซึ่งจะสามารถลดแรงต้านอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไซด์ ดิฟฟิวเซอร์ (Side Diffuser) เป็นตัวดักอากาศจากด้านข้างของตัวรถเพื่อส่งไปยังดิฟฟิวเซอร์ที่อยู่ใต้ท้องรถ

แอโร ริมส์ (Aero Rims) คือล้อแม็กที่ออกแบบมาเพื่อลดการปั่นป่วนของอากาศซึ่งเกิดจากการหมุนที่ความเร็วสูง

และไฮไลท์จะอยู่ที่แอโรพาร์ทที่มีชื่ว่า เลย์เยอร์ริง (Layering) เป็นโพรงอากาศที่อยู่เหนือไฟเบรกหลัง ทำหน้าที่ลำเลียงอากาศให้ผ่านท้ายรถไปอย่างราบเรียบ

ล้ำสุด สุดล้ำจริงๆ สำหรับ BMW i8 คันนี้ สมแล้วที่ขึ้นแท่นเป็นอันดับที่ 2 ของ God of Wind แห่งทศวรรษนี้

 

อันดับ 1 | McLaren P1

และแล้ว...ก็มาถึงเวลาเปิดตัวของ God of Wind อันดับที่ 1 นั่นก็คือ McLaren P1 สุดยอดรถสปอร์ตไฮบริดจากแดนผู้ดีอังกฤษ P1 เป็นรถที่นำเทคโนโลยีของ F1 มาใช้อย่าง ไม่บันยะบันยัง จนบางครั้งผมก็แอบงงว่า เทคโนโลยีพวกนี้มันไม่ผิดกฎหมายเหรอ แต่จุดเด่นของรถคันนี้คงหนีไม่พ้น แอโรไดนามิคส์ ซึ่ง P1 ได้รับการยกย่องว่าเป็นรถที่มี แอโรที่ดีที่สุด เท่าที่โลกเคยมีมา

topgear.co.uk

P1 เป็นรถที่เกิดจาก อุโมงค์ลม อย่างแท้จริง ทุกส่วนที่มองเห็นได้จากภายนอกนั้น ถูกออกแบบอ้างอิงจาก แอโรไดนามิคส์ แทบจะทุกตารางเซนติเมตร และด้วยพละกำลังระดับ 900 แรงม้า... ดาวน์ฟอร์ซ จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับซูปเปอร์คาร์คันนี้ ถ้าไม่มี แรงกด แล้วล่ะก็ ผมบอกเลยว่า... บิน ได้เลยครับคันนี้

แอโรพาร์ทที่ติดตั้งไว้รอบคันนั้น หลักๆแล้วถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการไหลของอากาศให้กลายเป็น ดาวน์ฟอร์ซ เพื่อกดรถให้ติดอยู่กับพื้น เพื่อที่จะแลกมาซึ่ง ดาวน์ฟอร์ซปริมาณมหาศาล...ทำให้ P1 ต้องสังเวยค่า Cd ไปมากถึง 0.34 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ ดาวน์ฟอร์ซ ที่ได้กลับมามากถึง 600 กิโลกรัม... นับว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว

สปอยเลอร์แบบแอคทิฟ (Active Spoiler) สามารถปรับระดับสูง-ต่ำ และปรับองศาให้สัมพันธ์กับความเร็วที่ใช้ เพื่อให้สามารถแรงกดได้อย่างเหมาะสม

ท่อไอดีแบบสน็อคเกิล (Snorkel) เป็นตัวดักอากาศที่อยู่บนหลังคา ซึ่งจะดักอากาศที่ เย็น และ สะอาด เพื่อป้อนให้กับเครื่องยนต์

รูจมูก (Nostril) เป็นแอโรพาร์ทที่ผมชอบมากที่สุด มันมีหน้าที่ บังคับ ไม่ให้อากาศร้อนที่ออกจากหม้อน้ำ ไหลเข้าไปใน สน็อคเกิล นั่นเอง

และที่เด็ดกว่านั้น... ถ้ามองดูที่ด้านท้ายของ P1 จะเห็นไฟเบรกเป็นเส้น LED สีแดง เชื่อหรือไม่ว่า...เหตุผลที่ต้องออกแบบ ไฟท้าย ให้เป็นแบบนี้ นั่นก็เพราะว่า แอโรไดนามิคส์ นั่นเอง ซึ่งการลดพื้นที่ของไฟท้ายจะช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ที่ถูกติดตั้งไว้หลังคนขับ ซึ่งผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ โคตรล้ำ และทั้งหมดทั้งมวลผมพูดมานี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ P1 ได้รับตำแหน่งสุดยอด GOD OF WIND อย่างไม่ต้องสงสัย...

 

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับ God of Wind ทั้ง 5 คัน หวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย

ไว้เจอกันใหม่ในบทความถัดๆไปนะครับ

เรียบเรียงโดยJoh Burut

Get Connected | ติดต่อกับพวกเราได้ที่...