บทความนี้ สนับสนุนโดย – ร้านล้อและยาง WTF : Wheel, Tyre and Fitment

 

สำหรับในบทความนี้ เราก็จะไปว่ากันในเรื่องของ ‘ยาง’ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของตัวรถ ถึงแม้เครื่องยนต์จะมีแรงม้ามากมาย แต่ถ้ายางไม่ยึดเกาะถนน และไม่สามารถเอาม้าลงพื้นได้ ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’ …ถึงแม้ว่าจะใส่ช่วงล่างสุดเทพ แต่ถ้าหากว่ายางไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันที ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’ ...ถึงแม้ว่าจะใส่เบรกชุดละแสน แต่ถ้าหากว่ายางไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานได้ ก็เท่ากับ ‘เปล่าประโยชน์’

เพราะฉะนั้นแล้ว ยางจึงถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรถยนต์ ไม่เพียงแต่ในแง่ของสมรรถนะแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย และในบทความนี้ เราก็จะไปว่ากันด้วยเรื่อง... ‘การเลือกใช้ยาง’ ไปดูกันว่า ‘ปัจจัย’ อะไรบ้างที่เราต้องคำนึงถึง? ...ยางแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานประเภทไหนบ้าง? รวมไปถึงองค์ประกอบและโครงสร้างของยาง...

ก่อนอื่น...เราลองไปศึกษาองค์ประกอบและข้อมูลสำคัญๆ ของยางกันก่อนครับ

ถ้าพูดถึงโครงสร้างยางแล้ว ยางรถยนต์ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น จะประกอบไปด้วยยางธรรมดา (Bias) และยางเรเดียล (Radial) ว่าแต่ว่า...ยางทั้งสองแบบนี้ มีโครงสร้างต่างกันอย่างไรบ้าง เราลองไปอ่านรายละเอียดกันครับ

 

1. ยางธรรมดา

ยางธรรมดามีชั้นผ้าใบที่ไขว้สลับกันไปมา ทำให้มีหน้ายางมีความแข็งที่มากกว่า ส่งผลดีต่อการบังคับเลี้ยวในความเร็วต่ำ แต่เนื่องจากว่าหน้ายางที่แข็งนี่เอง ทำให้การขับขี่มีความกระด้างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยางมีอายุการใช้งานมากๆ

ซ้าย - โครงสร้างยางแบบธรรมดา

ขวา - โครงสร้างยางแบบเรเดียล

2. ยางเรเดียล

ยางเรเดียลน่าจะเป็นชื่อที่คุ้นหูพวกเราๆ มากกว่า เพราะในปัจจุบันนี้ ยางเรเดียลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยโครงสร้างแล้ว ยางเรเดียลมีผ้าใบพร้อมลวดเหล็กพันรอบแนวเส้นรอบวง ช่วยเพิ่มความเสถียรในการขับที่ความเร็วสูง นอกจากนั้นแล้ว เนื่องจากว่ายางเรเดียลจะใช้ผ้าใบที่บางกว่า ทำให้หน้ายางมีความบาง สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแรงที่มากกว่าด้วย

 

นอกจากโครงสร้างของยางแล้ว ความรู้อีกหนึ่งยางที่เราจะต้องรู้เกี่ยวกับยางรถยนต์ก็คือ ขนาดและวันที่ผลิต โดยตัวเลขเหล่านี้จะปรากฏอยู่ที่แก้มยาง ยกตัวอย่างเช่น 22/50/17 หมายถึงขนาดของยางที่มีหน้ากว้าง 225 มิลลิเมตร และมีความสูงแก้มยางเท่ากับ 225X50% = 112.5 มิลลิเมตร ส่วนตัวเลขสุดท้ายหมายถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ นั้นก็คือ 17 นิ้วนั่นเองครับ

นอกจากขนาดของยางแล้ว ตัวเลขอีกชุดหนึ่งที่เราต้องสังเกตก็คือ ปีที่ยางเส้นนั้นถูกผลิต โดยตัวเลขชุดนี้จะมีทั้งหมด 4 ตัว เลขสองตัวแรกหมายถึงสัปดาห์ ตัวเลขสองตัวหลังหมายถึงปีที่ผลิตนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น 1018 หมายถึงยางเส้นนั้น ผลิตในสัปดาห์ที่ 10 ของปี 2018 นั่นเอง

หลังจากเราได้ทราบข้อมูลเบื้องต้น รวมไปถึงโครงสร้างของยางแล้ว ...เราก็เริ่มไปเลือกยางกันเลยครับ โดยปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงนั้น ประกอบไปด้วยปัจจัยต่อไปนี้

 

ปัจจัยที่ 1 – ลักษณะการใช้งาน

สำหรับการเลือกซื้อยางรถยนต์นั้น ปัจจัยแรกคงหนีไม่พ้นเรื่องของลักษณะการใช้งาน ถ้าหากว่าเป็นรถเก๋งขนาดเล็กที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก ก็ควรเลือกยางที่มีขนาดและคุณภาพเทียบเท่ากับยางโรงงานที่ติดรถมา หรือจะเน้นไปที่กลุ่มยางประหยัดน้ำมันก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน โดยยางในกลุ่มนี้จะสามารถสร้างแรงยึดเกาะที่เพียงพอต่อการใช้งาน ทั้งการขับบนถนนแห้งและบนถนนเปียก นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเสียงดังรบกวนที่น้อยกว่าอีกด้วย

ยางบางรุ่น สามารถลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้

สำหรับกลุ่มสายสตรีท หรือสายเพอร์ฟอร์มานซ์ ที่อยากจะอัพเกรดสมรรถนะของตัวรถ รวมไปถึงมีการปรับแต่งช่วงล่างมาบางส่วนแล้ว ก็ต้องเล็งไปที่ยางสมรรถนะสูง ซึ่งสามารถให้แรงยึดเกาะที่มากกว่า ให้การตอบสนองที่มากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องแลกมากับความสามารถในการรีดน้ำที่แย่ลง รวมไปถึงอายุการใช้งานที่สั้นลงด้วย นอกจากนั้นแล้ว ยางสมรรถนะสูงเหล่านี้ ถ้าหากใช้ไประยะหนึ่งแล้ว จะมีเสียงดังรบกวนมากกว่ายางโดยทั่วไป

ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของยางและการยึดเกาะ

(Lateral Force = ความสามารถในการสร้างแรงยึดเกาะ)

 

ปัจจัยที่ 2 – ขนาดของยาง

หลังจากที่เราได้ตัดสินใจเลือกประเภทการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจัยที่ 2 ก็คือการเลือกขนาด สำหรับคนที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ขับในเมืองที่ความเร็วต่ำ ขับไปทำงาน ขับไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียน ...ก็ไม่ต้องคิดมากเลยครับ เลือกใช้ยางที่มีขนาดเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด การเลือกใช้ยางขนาดเท่ากับของเดิม จะช่วยตัดปัญหาเรื่องไมล์ความเร็วเพี้ยน, ปัญหายางติดซุ้ม (ใช้ยางหน้ากว้างกว่าปกติ), ปัญหาเรื่องความแข็งกระด้าง (ใช้ยางแก้มเตี้ยกว่าปกติ)

สำหรับกลุ่มสายสตรีท ซึ่งเอาคำว่า ‘สมรรถนะ’ มาเป็นตัวตัดสินนั้น ก็ต้องพิถีพิถันกันสักหน่อย โดยอาจจะใช้ยางหน้ากว้างขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่สัมผัสของหน้ายางกับถนน ทำให้สามารถสร้างแรงยึดเกาะได้มากขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้น การใช้ยางแก้มเตี้ย จะส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะการขับขี่ โดยจะทำให้รถสามารถตอบสนองต่อพวงมาลัยได้เร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม ยางแก้มเตี้ยจะทำให้รถมีความกระด้างมากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ปัจจัยที่ 3 – ดอกยาง

หลังจากเลือกขนาดของยางแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือ ‘ดอกยาง’ โดยทั่วไปนั้น ดอกยางสามารถแบ่งตามทิศทางได้ทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้

1. ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-directional)

ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง จะมีลายดอกยางฝั่งซ้าย-และ-ฝั่งขวาแบบ ‘สวนทางกัน’ ดอกยางประเภทนี้ สามารถสลับตำแหน่งได้แบบสี่ล้อเลยครับ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะดอกยางประเภทนี้ จะมีหน้ายางที่นุ่มและมีเสียงที่ไม่ดังมาก อย่างไรก็ตาม ดอกยางแบบสองทิศทาง ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการขับแบบความเร็วสูง หรือการขับขี่ปาดไป-ปาดมา

2. ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional)

 

ดอกยางแบบนี้ ถูกออกแบบให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น ซึ่งที่แก้มยางจะมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนไว้อย่างชัดเจน ดอกยางประเภทนี้ สร้างแรงยึดเกาะได้ค่อนข้างสูง และมีความเสถียรมากกว่า เพิ่มความมั่นใจในการขับแบบความเร็วสูง

นอกจากนั้นแล้ว ข้อดีอีกอย่างของดอกยางประเภทนี้ก็คือ สามารถรีดน้ำได้ค่อนข้างเร็ว จึงเหมาะกับการขับขี่ในหน้าฝน แต่ข้อเสียก็คือว่า สามารถสลับยางได้เพียงจากหน้า-ไป-หลังเท่านั้น ไม่สามารถสลับจากซ้าย-ไป-ขวาได้ (เว้นเสียแต่ว่าจะถอดยาง จึงจะสามารถสลับยางได้ครบทุกล้อครับ)

3. ดอกยางแบบไม่สมมาตร (Asymmetric)

ดอกยางแบบไม่สมมาตร จะมีลายดอกยางของฝั่งซ้าย-และ-ฝั่งขวา ที่ไม่เหมือนกัน โดยที่ดอกยางฝั่งใน มีหน้าที่หลักคือการรีดน้ำเพื่อป้องกันการเหินน้ำ (Aquaplaning) ส่วนดอกยางฝั่งนอกนั้น จะมีความแข็งที่มากกว่า ช่วยเพิ่มแรงยึดเกาะขณะเข้าโค้งแบบหนักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถนนแห้ง ยางที่มีดอกไม่สมมาตรจะสามารถสร้างแรงยึดเกาะได้สูงมาก ดอกยางประเภทนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของสายเพอร์ฟอร์มานซ์

และนี่ก็คือปัจจัยและกระบวนการคร่าวๆ ในการเลือกซื้อยาง ซึ่งผมเชื่อว่า...น่าจะทำให้ท่านผู้อ่านสามารถเลือกยางที่ตรงตามต้องการ และถูกต้องตามประเภทการใช้งาน ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเองครับ นอกจากนั้นแล้ว การเลือกใช้ยางอย่างถูกประเภท ยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย

บทความนี้ สนับสนุนโดย – ร้านล้อและยาง WTF : Wheel, Tyre and Fitment

ร้านล้อและยาง WTF : Wheel, Tyre and Fitment

จำหน่าย ล้อ, ยาง และช่วงล่างรถยนต์

พร้อมให้คำแนะนำการปรับแต่งอย่างมืออาชีพ

ติดต่อ: 083-030-4867, 089-949-7973

ติดตามโปรโมชั่นของทางร้านได้ที่ FanPage Wheel&Tyre Fitment

 

 

Get Connected | ติดต่อกับพวกเราได้ที่...