บทความนี้สนับสนุนโดย Motys Thailand

ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านผู้อ่านหลายคนอาจจะเคยตกอยู่กลางวงสนทนาเกี่ยวกับระบบส่งกำลังของรถยนต์ โดยคำถามที่ปลิวไปปลิวมานั้น คงหนีไม่พ้นคำถามที่ว่า... เกียร์ประเภทไหนคือ เกียร์ที่ดีที่สุด ยังไม่ทันจะจบคำถาม ก็จะมีคนพูดขึ้นมาทันทีว่า มันต้องเป็นเกียร์ CVT อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะแปรผันอัตราทดได้อย่างอิสระ และมีกลไกการทำงานที่ไม่ซับซ้อนแล้ว มันยังช่วยดึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ในขณะเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็จะสวนขึ้นมาโดยทันทีว่า มันต้องเป็นเกียร์ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่าเกียร์ธรรมดานั้น สามารถรับทอร์คได้แบบสุดตาราง แถมค่าบำรุงรักษายังถูกที่สุดอีกต่างหาก

แน่นอนว่า ถ้าหากถกเถียงกันในหัวข้อนี้ อีก 10-วัน ก็คงจะหาข้อสรุปไม่ได้ นั่นก็เพราะว่า เกียร์แต่ละประเภทนั้น ออกแบบเพื่อใช้งานในวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น คำตอบของคำถามข้างต้น...จึงไม่มีคำตอบที่ตายตัวแต่อย่างใด

Lamborghini Murcielago LP640 กระทิงรุ่นสุดท้ายที่มาพร้อมกับเกียร์แมนนวล

ก่อนที่เกียร์ธรรมดาจะถูกตัดตอนจากตระกูลกระทิงโดยสมบูรณ์

นอกจากเกียร์ยุคใหม่อย่างเกียร์ CVT และเกียร์จอมเก๋าอย่างเกียร์แมนนวลแล้ว ยังมีเกียร์อีกประเภทหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือเกียร์ DCT นั่นเองครับ ดูเผินๆ นั้น เหมือนว่าเกียร์ DCT จะอยู่กึ่งกลางระหว่างเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT และเกียร์ธรรมดาแบบแมนนวล เพราะมันสามารถให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของเกียร์อัตโนมัติ CVT ในขณะเดียวกัน มันก็มีสมรรถนะการส่งกำลังที่สูงพอๆ กับเกียร์ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นเกียร์ที่ค่อนข้างสมดุลทั้งในแง่ของการใช้งานและสมรรถนะการส่งกำลัง

สำหรับวันนี้ เราจะไปเจาะลึกระบบเกียร์ DCT ที่ถือเป็นหนึ่งใน อาวุธลับ ของรถยนต์สมรรถนะสูงสมัยใหม่ รวมถึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของสุดยอดรถยนต์ที่ขึ้นชื่อว่า ซุปเปอร์คาร์ ...เพื่อหาคำตอบกันว่า ทำไมเกียร์ประเภทนี้ จึงกลายมาเป็นระบบส่งกำลังที่ได้รับความไว้วางใจ ให้มาถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ระดับ 600-แรงม้า ทำไมเกียร์ประเภทนี้ จึงได้กลายมาเป็น อาวุธ ของเจ้าแห่งวงการยานยนต์อย่างรถยนต์ซุปเปอร์คาร์

1. รับ-ส่ง กำลังได้มากกว่า More Torque Transferring

เกียร์ DCT นั้น ใช้ชุดคลัทช์ทั้งหมด 2-ชุด แต่ละชุดจะมีเพลาเกียร์เป็นของตัวเองแยกจากกันอย่างอิสระ ซึ่งฟันเฟืองของแต่ละเกียร์จะขบกันโดยตรง ซึ่งการส่งกำลังแบบ เกียร์-ต่อ-เกียร์ เฟือง-ขบ-เฟือง ในลักษณะนี้ ก็คือกลไกของเกียร์แมนนวลธรรมดานี่เอง เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงสามารถรับ-และ-ส่ง แรงบิดได้อย่างมหาศาล และคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง รวมไปถึงรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ที่เกิดมาพร้อมกับแรงม้าระดับ 600-แรงม้าขึ้นไป

เกียร์คลัทช์คู่ (PDK) ของค่าย PORSCHE

นอกจากรถยนต์ซุปเปอร์คาร์แล้ว ข้อได้เปรียบในเรื่องของการ รับ-ส่ง กำลังได้มาก ก็ได้ดึงดูดเหล่า รถบ้าน ให้หันมาเลือกใช้เกียร์ประเภทนี้ด้วยเช่นกัน นั่นก็เพราะว่า เมื่อเกียร์ รับ-ส่ง กำลังได้มากแล้ว ก็หมายความว่า มันมี ความทนทาน มากขึ้นนั่นเองครับ และจุดเด่นในเรื่องของความคงทน ก็ถือเป็นอะไรที่เหล่ารถยนต์บ้านๆ ต้องการ เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งเราจะไปพูดคุยเกี่ยวกับเกียร์ DCT ในรถบ้าน ในช่วงท้ายๆ ของบทความครับ

ชุดคลัทช์หลายแผ่น (Multiplate Clutch) คือหัวใจหลักของการตัด-ต่อ กำลังของเกียร์ DCT

ในรูป ชุดคลัทช์สีส้ม ทำหน้าที่ส่งกำลังให้เฟืองเกียร์คู่ ชุดคลัทช์สีฟ้า ทำหน้าที่ส่งกำลังให้เฟืองเกียร์คี่

2. ระยะเวลาเปลี่ยนเกียร์ สั้นกว่า Shorter Shifting Time

และนี่ก็คือข้อได้เปรียบที่เด่นชัดที่สุดของเกียร์ DCT เนื่องจากว่าระบบเกียร์ DCT นั้น จะแบ่งการทำงานโดยเป็น เพลาเกียร์คี่ และ เพลาเกียร์คู่ ขณะที่เกียร์ใดเกียร์หนึ่งกำลังส่งกำลังเพื่อไปขับเคลื่อนล้อ เกียร์อันดับถัดไป จะทำการขบฟันเฟืองไว้เพื่อรอรับ แรงบิด โดยทันที เป็นผลให้เกียร์ DCT สามารถ ต่อเกียร์ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบเกียร์ DCT ในปัจจุบันนั้น มีระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วในระดับ มิลลิเซคันด์ (Milli-second) แล้วนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ระบบเกียร์คลัทช์คู่ของ AUDI ที่เรียกว่า DSG (Direkt-Schalt-Getriebe) สามารถต่อเกียร์โดยใช้เวลาเพียงแค่ 8-มิลลิเซคันด์ ซึ่งเร็วกว่าการกระพริบตาของคนเราหลายเท่าตัวเลยทีเดียว (การพริบตาของคนเรามีความเร็วประมาณ 200-300 มิลลิ-เซคันด์)

PORSCHE 991 GT3 RS มาพร้อมกับเกียร์ 7-Speed PDK (Dual Clutch)

ประโยชน์ที่ได้จากการต่อเกียร์ที่รวดเร็วนี้ จะส่งผลให้ระบบเกียร์สามารถส่งแรงบิดได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้สามารถทำอัตราเร่งได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำรถยนต์ไปทำลายสถิติเพื่อการโฆษณาทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการทำเวลาในสนาม หรือการวิ่งจับเวลาเพื่อหาอัตราเร่ง ตัวเลขเหล่านี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว และแน่นอนว่า การต่อเกียร์ที่เร็วขึ้นนั้น ก็ถือเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงเทคนิคอย่างปฏิเสธไม่ได้ ...เพราะฉะนั้นแล้ว เกียร์ DCT จึงเปรียบเสมือนเป็น อาวุธลับ ที่จะช่วยให้รถยนต์เหล่านั้น สามารถสร้างสถิติใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็น

3. มีจำนวนเกียร์ที่มากกว่า Closer Gear Ratio

การมีจำนวนเกียร์ที่มากกว่า ทำให้สามารถ ซอย อัตราทดเกียร์ได้ ชิด กว่า พูดง่ายๆ ก็คือมีจำนวนเกียร์ที่มากกว่านั่นเองครับ ซึ่งการทำเช่นนี้ จะทำให้ความต่อเนื่องในการส่งกำลังเป็นไปด้วยความสมูท เป็นผลดีโดยตรงต่ออัตราเร่ง สามารถเร่งความเร็วเพื่อทำ ความเร็วสูงสุด โดยใช้เวลาน้อยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ACURA NSX ซุปเปอร์คาร์สายพันธุ์ไฮบริด-สัญชาติซามูไร เครื่องยนต์ V6 3.5-ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ DCT 9-สปีด และด้วยจำนวนเกียร์ที่มากกว่า (อัตราทดชิดกว่า) ประกอบกับมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบไฮบริด ทำให้ ACURA NSX มีอัตราเร่งที่ใกล้เคียงกับ AUDI R8 V10 Plus Quattro ซึ่งมีแรงม้ามากกว่าเกือบ 40-แรงม้า

ที่มา caranddriver.com

4. ตอบสนองได้เร็วกว่า Better Responds

ข้อได้เปรียบข้อนี้ เป็นผลพลอยได้มาจากจุดเด่นในแง่ของ ระยะเวลาการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีโดยตรงต่อ การตอบสนองของระบบส่งกำลัง โดยทันทีที่คนขับได้ทำการเหยียบ-หรือ-ยกคันเร่ง ระบบควบคุมจะสามารถเลือกเกียร์ลำดับถัดไปและส่งกำลังกำลังไปยังเกียร์ที่เหมาะสมอย่างทันที เป็นผลให้คนขับสามารถควบคุมได้อย่างรถได้อย่างต่อเนื่อง

กราฟเปรียบเทียบช่วงตัด-ต่อ กำลังระหว่างเกียร์ธรรมดาและเกียร์ DCT

การตอบสนองได้อย่างฉับพลัน-ทันทีนี้ ยังถือเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ ต้องมี สำหรับรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ทั้งการตอบสนองในจังหวะเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-และ-เปลี่ยนเกียร์ลง

โซนโปรโมทสินค้า

อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วตอนต้นว่า นอกจากรถยนต์ซุปเปอร์คาร์แล้ว เกียร์ DCT ยังปรากฏอยู่ในรถบ้านโดยทั่วไป จุดเด่นในเรื่องของ ความสามารถในการรับ-ส่ง ช่วยให้เกียร์ประเภท DCT มีความ ทนทาน ที่มากกว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ เป็นผลให้รถยนต์ส่วนบุคคลโดยทั่วไป ไม่ลังเลที่จะเลือกใช้เกียร์ DCT มาประจำการในรถบ้านที่เน้นการขับใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเกินพอดีนั้น ทำให้อายุขัยของเกียร์อัตโนมัติสั้นลงอย่าปฏิเสธไม่ได้

ถึงแม้เกียร์ DCT จะมีความมนทานกว่าเกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าระบบเกียร์ DCT นั้น มีคลัทช์ทั้งหมด 2 ชุด และคลัทช์แต่ละชุดนั้นก็จะมีแผ่นคลัทช์จำนวนหลายแผ่น แน่นอนว่าสิ่งที่หนีไม่พ้นอย่างเด็ดขาดก็คือ ความร้อน นั่นเองครับ เพราะเหตุนี้เกียร์ DCT จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนสะสม ส่งผลให้ประสิทธิภาพของเกียร์ลดลงนั่นเองครับ

การบำรุงรักษาระบบเกียร์จึงถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด และวันนี้ ผมก็จะขออนุญาตมาแนะนำน้ำมันเกียร์คุณภาพสูงจากญี่ปุ่น นั่นก็คือ Motys M351ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเกียร์ DCT โดยเฉพาะ ด้วยค่าความหนืดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้สามารถทนความร้อนได้มากกว่าปกติ และยังสามารถรักษาความหนืดทั้งที่อุณหภูมิต่ำและสูงได้อย่างเสถียร รวมไปถึงการถ่ายทอดกำลังที่นุ่มนวลกว่า

นอกจากนั้นแล้ว สำหรับคนที่อยากรักษาเกียร์ DCT ให้คงไว้ซึ่งสมรรถนะสูงสุด ผมก็ขอแนะนำ น้ำมันเกียร์ M352ซึ่งเหมาะทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน ครอบคลุมไปถึงการใช้งานในรถแข่ง และท้ายสุดนั้น คือ M353น้ำมันเกียร์คลัทช์คู่ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งได้พัฒนาร่วมกันกับสำนักแต่งชื่อดังแดนซามูไรอย่าง TOP SECRET ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการโมดิฟายเครื่องยนต์แรงม้าสูง โดยโปรเจคคาร์ที่เข้าร่วมการพัฒนาในครั้งนี้ก็คือ GTR R35 ส่งผลให้ M353 สามารถรองรับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าสูงที่สูงในระดับ พันม้า เลยทีเดียวครับ เรียกได้ว่า ขนาดรถแรงขนาดนี้ น้ำมันเกียร์ยังรักษาความหนืดเพื่อปกป้องอาการ คลัทช์ลื่น ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากว่าอาการคลัทช์ลื่นนั้น ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกียร์ DCT มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกตินั่นเองครับ เพราะฉะนั้น สำหรับรถบ้านๆ อย่างพวกเราแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยครับว่าจะเกิดอาการคลัทช์ลื่น-คลัทช์สะดุด และมั่นใจได้เลยว่าเกียร์ DCT จะได้รับการบำรุงรักษาอย่างสมบูรณ์แบบ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นอย่างแน่นอนและคุ้มค่าที่สุด

นอกจากนั้นแล้ว สำหรับวงการมอเตอร์สปอร์ตในปัจจุบันนี้ รถแข่งหลายต่อหลายคันก็เลือกที่จะใช้เกียร์ DCT เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และรถแข่งพวกนี้นั้น เป็นรถได้รับการโมดิฟายที่แตกต่างออกไป การเลือกใช้น้ำมันเกียร์ให้ตรงตามต้องการ เพื่อให้ระบบส่งกำลังมีสมรรถนะสูงสุด จึงเป็นอะไรที่ไม่ควรละเลย อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือว่า รถยนต์พวกนี้ มีเสปคเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสมที่สุด และมีคุณสมบัติครบถ้วยตามต้องการ

ทาง Motys จึงได้คิดค้นสูตรผสมเพื่อให้ทีมแข่งสามารถปรุงน้ำมันเกียร์ได้อย่างอิสระ ซึ่งจะทำให้ได้น้ำมันเกียร์ที่เหมาะกับรถแข่งคันนั้นๆ อย่างแท้จริง และน้ำมันเกียร์ที่จะนำมาผสมกันนั้น ก็คือ M351 และ M353 นั่นเองครับ โดยน้ำมันเกียร์ 2-ตัวนี้ สามารถผสมกันได้โดยตรง ไม่ต้องกลัวว่า สารเติมแต่ง จะด้อยคุณภาพลงแต่อย่างใด

โดยสัดส่วนการผสมนั้น จะเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดของตัวน้ำมันเกียร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ดังตารางข้างล่างนี้

และนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับคนที่ต้องการน้ำมันเกียร์ที่มีเสปคเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะช่วยให้ระบบส่งกำลังมีสมรรถนะสูงสุดตลอดเวลา และถือเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอีกวิธีหนึ่งนั่นเองครับ

สำหรับบทความนี้ ก็คงขอจบแต่เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย และสำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจในผลิตภัณฑ์ของ Motys สามารถสอบถามโดยตรงได้ที่ แฟนเพจ Motys Oil Thailandหรือเข้าไปเยี่ยมชมเว็ปไซต์ของ Motys ได้ทางhttps://motysthailand.wordpress.com/

Get Connected | ติดต่อกับพวกเราได้ที่...